เรื่องมีอยู่ว่าตาเป็นพี่ชายคนโตซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกได้นำเงินตนเองไปถอนที่ดินของพ่อซึ่งได้เสียชีวิตแล้วออกมาจากธนาคารเพื่อมาแบ่งที่ดินให้กับทายาท
ผู้จัดการมรดก(ตา)ได้แบ่งที่ดินออกเป็น 7 ส่วนให้แก่ทายาท แต่ผู้จัดการมรดก(ตา)ต้องขายที่ดินที่แบ่งให้กับทายาทเพื่อเอาทุนคืน(เงินที่นำไปถอนที่มา) และหลานสาว ก ได้ซื้อที่ไว้5แปลงรวมของตนเป็น 6 แปลง ส่วนที่ดินส่วนของหลานชาย ข นั้นไม่ได้ซื้อขาย ซึ่งทายาททุกคนยินยิมหมดไม่มีปัญหาใด
ตอนโอนโฉนดที่ดิน หลานชาย ข ไม่ได้มารับโอนด้วยเพราะไม่มีเงินเพื่อที่จะจ่ายค่าโอน หลานสาว ก จึงเป็นผู้รับโอนไว้ก่อนทั้งหมดผู้เดียวโดยเป็นชื่อของนางสาว ก ที่ดินได้โอนเป็นแบบซื้อขาย
หลายปีต่อมา แม่ของหลานชาย ข ได้ไปฟ้องต่อศาล ว่าผู้จัดการมรดกในข้อหายักยอกทรัพย์(อีกข้อกล่าวหาจำไม่ได้) และฟ้องหลานสาว ก ว่า ร่วมกันยักยอกทรัพท์และรับซื้อของโจร
ต่อมามีหมายศาลมาถึงหลานสาว ก และผู้จัดการมรดก(ตา) ซึ่งทั้ง 2 ได้ไปศาลในครั้งแรก แต่ไม่ได้ไปปรากฎตัวต่อศาลเพราะทนายไม่ให้เข้าไป ครั้งที่ 2 ก็ไปที่ศาลอีกแต่ก็ไม่ได้เข้าไปปรากฎตัวต่อศาลเช่นกัน
ฝั่งโจทย์(แม่หลานชาย ข) ได้ให้น้องสาว ค ของผู้จัดการมรดก(ตา)ไปเป็นพยานฝ่ายตน น้องสาวผู้จัดการมรดก(ตา) ได้ให้การต่อศาลไปสักพักหนึ่งทนายของฝั่งโจทย์บอกว่าสติฟั่นเฟือน
แล้ววันที่ 11 ที่ผ่านมาผู้จัดการมรดก(ตา)และหลานสาว ก ไม่ได้ไปขึ้นศาล เพราะทนายบอกว่าไม่ไปก็ได้ จึงมีหมายจับมาและวันที่12 ผู้จัดการมรดก(ตา)และหลานสาว ก ก็ได้นำหลักทรัพย์ไปประกันตัวเองออกมา
อยากทราบว่าจะโอกาสชนะคดีไหมคะ ถ้าหาพยานไปยืนยันต่อศาลเกี่ยวกับคดีนี้ และทำไมศาลถึงไม่เรียกหลานชาย ข ไปด้วย ที่ดินก็เป็นสิทธิของทายาทแล้วทำไมแม่ของหลานชาย ข ถึงฟ้องได้

ผมอยากตอบมากๆ แต่คำถามว่า จะชนะคดีไหม แค่โพสต์มาแค่นี้มันตอบยังไม่ได้หรอก ถ้ามีเวลาว่างมาที่สำนักงานผมดีกว่าต้องนั่งคุยกันเป็นชั่วโมง